วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ลิขสิทธิ์ (Copyright) และการจัดการลิขสิทธิ์ ดิจิตอล (Digital Rights Management)

ลิขสิทธิ์ (Copyright) 

ลิขสิทธิ์ (Copyright) หมายถึง สิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ริเริ่มโดยการใช้สติปัญญาความรู้ ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะของตนเองในการสร้างสรรค์ โดยไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น โดยงานที่สร้างสรรค์ต้องเป็นงานตามประเภทที่กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง โดยผู้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์โดยไม่ต้องจดทะเบียน

กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองแก่งานสร้างสรรค์ 9 ประเภทตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่
1. งานวรรณกรรม ( หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ ปาฐกถา คำปราศรัย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ )
2. งานนาฏกรรม ( ท่ารำ ท่าเต้น การแสดงโดยวิธีใบ้ ฯลฯ ) 
3. งานศิลปกรรม ( จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรม ภาพถ่าย ศิลปประยุกต์ ฯลฯ )
4. งานดนตรีกรรม ( ทำนอง ทำนองและเนื้อร้อง ฯลฯ )
5. งานสิ่งบันทึกเสียง ( เทป ซีดี ) 
6. งานโสตทัศนวัสดุ ( วีซีดี ดีวีดี ที่มีภาพหรือมีทั้งภาพและเสียง )
7. งานภาพยนตร์ 
8. งานแพร่เสียงแพร่ภาพ 
9. งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ




Copyright © คืออะไร?


Copyright คือลิขสิทธิ์ ใช้กับงานสร้างสรรทุกประเภท ได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างขึ้นโดยไม่ต้องจดทะเบียน เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีรูปร่าง แต่สามารถถือเอาได้และกฎหมายให้ความคุ้มครองโดยให้เจ้าของลิขสิทธิ์เป็นผู้มีสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights) ที่จะกระทำการใดๆเกี่ยวกับงานสร้างสรรค์ที่ได้ทำขึ้น โดยหลักแล้วกฎหมายลิขสิทธิ์จะคุ้มครองเฉพาะรูปแบบของการแสดงออกของความคิด (expression of ideas) ไม่คุ้มครองถึงตัวความคิดที่ยังไม่ได้ถ่ายทอดให้ปรากฎออกมา งานลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องมี ความใหม่” (novelty) ขอเพียงให้เกิดจากความคิดริเริ่มของตนเอง (original) ไม่ลอกเลียนแบบใคร และเป็นการสร้างสรรค์โดยใช้ความพยายามและสติปัญญาในระดับหนึ่งก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว
          อนึ่ง กฎหมายลิขสิทธิ์นั้นมุ่งคุ้มครองเจ้าของลิขสิทธิ์มิให้ผู้อื่นลอกเลียนแบบหรือทำซ้ำตลอดจนห้ามมิให้มีการใช้ประโยชน์จากรูปแบบของการแสดงออกทางความคิดของผู้สร้างสรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเหตุนี้อายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์จึงมีระยะยาวนานกว่าการคุ้มครองตัวความคิด ซึ่งเป็นเรื่องของการคุ้มครองการประดิษฐ์ภายใต้กฎหมายสิทธิบัตร ทั้งนี้การคุ้มครองดังกล่าวจะต้องไม่ขัดต่อประโยชน์ของสาธารณชนโดยรวมด้วย


Copyright © เอาไปใช้เมื่อไร?

Copyright สงวนลิขสิทธิ์ (c) :: ใช้เมื่องานของเรามีลิขสิทธิ์ หรือสิ่งนั้นเราสร้างเอง หากนำบางส่วนมาจากคนอื่นต้องมาด้วยวิธีชอบธรรม หรือได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ก็อปเขามาดื้อๆ แต่ใส่เครดิตไว้ แบบนี้ก็ไม่ได้นะครับ เพราะมันก็แปลไว้ตรงตัวอยู่แล้ว Copy (คัดลอก) Right (อย่างถูกต้อง) ส่วนมากแล้ว จะมีปีกำกับไว้ด้วย เช่น Copyright © 2013 - 2015 เป็นต้น ซึ่งหมายความว่า สงวนลิขสิทธิ์ผลงานนั้นๆในปีที่ระบุไว้นั่นเองครับ

กฏหมายลิขสิทธิ์ไทย
เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้เมื่อ พ.ศ.2537 กำหนดงานที่ได้รับความคุ้มครอง  ได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะของผู้สร้างสรรค์ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด
เหตุผลที่กฎหมายให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์
เนื่องจาก ผู้เป็นเจ้าของสิขสิทธิ์เป็นผู้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นมา โดยการสร้างสรรค์นั้นต้องใช้สติปัญญาและความสามารถ ผู้สร้างสรรค์จึงต้องได้รับความคุ้มครองจากการที่บุคคลอื่นจะนำงานนั้นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะหากไม่ให้ความคุ้มครองเสียแล้วย่อมทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ
ระยะเวลาที่ให้ความคุ้มครองในกฎหมายลิขสิทธิ์
เดิมกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลา 50 ปี แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเพิ่มมาเป็นคุ้มครองขั้นต่ำเป็นเวลา 70 ปี หากเสียชีวิตลงแล้วสามารถคุ้มครองต่ออีกเป็นเวลา 20 ปี สำหรับในอเมริกาถ้าเป็นผลงานขององค์กรให้ระยะเวลาการคุ้มครองถึง 120 ปี
ปัญหาของลิขสิทธิ์  การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่ง สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์สามารถพบเห็นได้ โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นซีดีเพลง วีซีดีและดีวีดีภาพยนตร์ทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ รวมไปถึงซอฟต์แวร์ เกม และโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ สะทอ้นให้เห็นถึงการไม่เอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์และการที่ผู้ซื้อไม่เห็นความสำคัญของการละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ โดยในปี พ.ศ.2550 นั้น ประเทศไทยมีการละเมิดลิขสิทธิ์สูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ



All Right Reserved คืออะไร?


All Right Reserve คือ ห้ามลอกห้ามก็อบทั้งหมด แปลแบบบ้านนา ๆ อย่างผมก็ (Reserve = สงวน Right = ลิขสิทธิ์ All = ทั้งหมด) เรียงคำใหม่ให้ดูสะสลวยได้ว่า ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข ก่อนได้รับอนุญาต ... 



การจัดการสิทธิดิจิทัล (DIGITAL RIGHT MANAGEMENT) DRM 

อะไร คือ DRM
                DRM คือ การจัดการสิทธิดิจิทัล (Digital Right Management) หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า DRM เป็นคำรวม ๆที่ใช้อ้างถึงกรรมวิธีทางเทคนิคหลาย ๆ แบบในการควบคุมหรือจำกัดการใช้สื่อดิจิทัล    บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ลงไป DRM บางครั้งก็เรียกว่า ระบบการจัดการลิขสิทธิ์อิเล็กทรอนิกส์ สื่อที่นิยมนำเอา DRM  มาจำกัดการใช้งานได้แก่ สื่อดนตรี งานศิลปะ และ     ภาพยนตร์ การใช้ DRM กับสื่อดิจิทัลก็พื่อป้องกันรายได้ที่อาจจะสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการทำซ้ำ   ผลงานลิขสิทธิ์อย่างผิดกฎหมาย ถึงแม้ว่าการการะทำดังกล่าวจะมีข้อโต้แย้งจากคนบางกลุ่มว่า การ  โอนย้ายสิทธิมนการใช้สื่อจากผู้บริโภคไปให้กับผู้จำหน่ายนั้นจะทำให้สิทธิอันชอบธรรมบางประการของผู้ใช้สูญเสียไปก็ตาม เนื่องจากยังไม่พบว่ามีเทคโนโลยี DRM ใดในปัจจุบันที่จะมีกลไกรักษาสิทธิอันพึงมี หรือสิทธิการใช้งานอย่างยุติธรรมเลย

Digital Rights Management (DRM)   
คือ ระบบการจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้อยู่ในรูปแบบดิจิตอล ผู้ผลิตเป็นผู้กำหนดขอบเขตการเข้าถึงของ ผู้ใช้ ผู้ผลิตยังสามารถควบคุมวิธีใช้   แฟ้มที่ได้รับการป้องกันคือแฟ้มที่ใช้ DRM เหมือนกับเป็นการกำหนด สิทธิ์การเข้าใช้งานสื่อ (ทั้งซอร์ฟแวร์และฮาร์ดแวร์)   กล่าวคือ สิทธิ์ในการใช้งานแฟ้มที่ได้รับการป้องกันด้วย วิธีการเฉพาะเจ้าของผลงาน เช่น ร้านค้าออนไลน์ การควบคุมเพลงดิจิตอล และแฟ้มวิดีโอที่ใช้ และการกระจาย ร้านค้าออนไลน์ขาย และเช่ามีป้องกัน DRM เพลงและวิดีโอที่มีสิทธิ์การใช้สื่อเพื่อให้สามารถใช้เฉพาะของเนื้อหา เพลงที่ได้รับการป้องกันหรือวิดีโอที่ได้รับการป้องกันคือ เพลงที่ได้รับการป้องกันหรือวิดีโอที่ได้รับการป้องกันเป็นแฟ้มที่ใช้ในการป้องกัน DRM เมื่อต้องการให้มีการป้องกันของเพลงหรือเล่นวิดีโอ คุณต้องมีสิทธิ์การใช้งานสื่อสำหรับตารางนั้น
                DRM ประกอบด้วยส่วนประกอบทางเทคโนโลยีจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้งมาตรการคุ้มครองทางเทคโนโลยี โดยทั่วไป DRM จะประกอบด้วยส่วนเข้ารหัสลับ กลไกการเฝ้าระวังฐานข้อมูล และส่วน จัดใบอนุญาตให้กับเจ้าของและผู้ใช้ ระบบ DRM จะถูกออกแบบให้จัดการสิทธิที่มีความสัมพันธ์กับ ข้อมูลข่าวสารอย่างอัตโนมัติ หน้าที่การจัดการนี้สามารถรวบรวมการปกป้องงานลิขสิทธิ์รวมทั้ง      ข่าวสารอื่น ๆ จากการใช้งานหรือการทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต การแต่งตั้งและการบังคับ
                ถึงแม้ว่าการควบคุมการทำซ้ำและการใช้โปรแกรมประยุกต์เป็นสิ่งที่รุ้จักกันดีมาตั้งแต่ ปี 1980 แต่สำหรับคำว่า DRM จะนำไปใช้กับเนื้อหาเชิงศิลปะมากกว่า และมีความหมายเกินกว่าขอบเขต      ของกฎหมายลิขสิทธิ์ทั่วไปที่เน้นไปที่การครอบครองเนื้อหาทางกายภาพเท่านั้น แต่ DRM จะบังคับให้มีข้อจำกัดอื่นเพิ่มเติมจากดุลพินิจของผู้จำหน่ายเองอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับที่มีอยู่ในกฎหมายลิขสิทธิ์ก็ได้
                คำว่า การจัดการสิทธิดิจิทัล หรือ DRM นี้ ตั้งขึ้นโดยผู้ออกแบบโปรแกรมและผู้จำหน่ายสื่อ  เพื่ออ้างถึงมาตรการทางเทคนิค แต่เนื่องจากคำว่า สิทธิ ในที่นี้จริง ๆ แล้วมันคืออำนาจหรือความสามารถที่เจ้าของเนื้อหาเป็นผู้จัดให้กับผู้ซื้อ ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกับ สิทธิตามกฎหมาย      ที่ผู้บริโภคควรได้รับก็ได้ ดังนั้นนักวิจารณ์ส่วนหนึ่งจึงบอกว่าการใช้วลี การจัดการสิทธิดิจิทัล นั้น      ไม่ถูกต้อง ในความหมายลักษณะนี้ควรจะใช้คำว่า การจัดการข้อจำกัดดิจิทัล ซึ่งจะมีนัยตรงกับหน้าที่ของระบบ DRM มากกว่าตัวอย่างที่ DRM ทำเกินกว่าสิ่งที่กฎหมายลิขสิทธิ์กำหนด




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น